ความสมบูรณ์ของนิติกรรมมีกี่ข้อ
นิติกรรมที่สมบูรณ์มีอยู่ 4 ข้อ ดังนี้
- ความสามารถของผู้ทำนิติกรรม
- วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
- แบบของนิติกรรม
- การแสดงเจตนาทำนิติกรรม
ความสามารถของผู้ทำนิติกรรม
“การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฏหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้นเป็นโมฆีนะ”[1] ความ สามารถของนิติกรรม นับว่าเป็นข้อสำคัญเบื้องต้นที่จะต้องคำนึงถึงเป็นประการแรก ทั้งนี้เพราะหากผู้ทำนิติกรรมมีความสามารถบกพร่องก็จะเป็นผลให้นิติกรรมที่ แสดงออกมานั้นมีผลเสื่อมเสียไปด้วย
ดังนั้นผู้ศึกษาจึงควรมีความเข้าใจในหลักฏกหมายที่บัญญติเกี่ยวกับความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรมก่อน
วัตถุประสงค์ของนิติกรรม
“วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ สิทธิหรือประโยชน์ที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมมุ่งประสงค์และกำหนดขึ้นในการทำนิติกรรม”[2] ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วัตถุประสงค์ของนิติกรรม คือ เจตนาที่ผู้แสดงเจตนาต้องการให้ปรากฏผลอย่างใดๆขึ้น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 บัญญัติว่า“การ ใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยชัดแจ้ง ด้วยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็น โมฆะ” จากตัวบทของมาตราดังกล่าว สามารถแบ่งได้ดังนี้
(ก) มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยชัดแจ้งด้วย กฎหมาย ในกรณีนี้ต้องดูเป็นเรื่องว่าฏกหมายห้ามอะไรบ้าง
ตัวอย่าง
ตัวอย่าง
คนต่างด้าวซื้อที่ดินโดยคนไทยเป็นผู้รับโอนแทน วัตถุประสงค์ของสัญญาซื้อขายจึงเป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฏหมาย เพราะขัดต่อประมวลกฏหมายที่ดิน พ.ศ.2497 จึงตกเป็นโมฆะตามมาตร 113 (ปัจจุบันคือ มาตรา 150)[3]
(ข) เป็นการพ้นวิสัย “กิจการใดมีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย ย่อมหมายความว่าประโยชน์หรือผลสุดท้ายที่คู้สัญญามุ่งประสงค์จะได้รับนั้น ไม่อาจอยู่ในวิสัยที่จะประสบผลสำเร็จได้เลยอย่างแน่แท้”[4]
(ค) เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในเรื่องนี้กฏหมายได้บัญญัติไว้อย่างกว้างๆ ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงต้องศึกษาความหมายของเรื่องนี้จากคำอธิบายของนักวิชาการ ทางนิติศาสตร์และแนวคำพิพากษาฏีกา ศ.ดร.จิ๊ด เศรษฐบุตร ได้อธิบายไว้ [5] สรุปได้ว่า หลักการเรื่องความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำแนกออกเป็น 2ประการ คือ ความสมเรียบร้อยทางการเมือง และความสงบเรียบร้อยทางเศรษฐกิจ
แบบของนิติกรรม
โดยทั่วไปการแสดงเจตนาทำนิติกรรมไม่ต้องมีแบบแต่อย่างไรแต่ในบางกรณีกฏหมายได้ กำหนดวิธีแสดงเจนตาทำนิติกรรมหรือแบบของนิติกรรมไว้ อาทิ การซื้อขายอสังหริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์พิเศษ สัญญาเช่าซื้อ การทำผิดนัยกรรม โดยในแต่ละเรื่องกฏหมายก้มีบทบัญญัติที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ “ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติบังคับให้นิติกรรมสัญญาบางประเภทต้องทำตามแบบ ถ้าฝ่าฝืนไม่ทำตามแบบ การนั้นเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 152)”[6][7]
การแสดงเจตนาทำนิติกรรม
ในการจะพิจารณาว่านิติกรรมมีความสมบูรณ์บังคับกันได้หรือไม่เพียงใดนอกจากจะ ดูหลักเกณฑ์ทั้งประการที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ยังมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หลักเกณฑ์ว่าด้วยการแสดงเจตนาของคู่สัญญา โดยมีกฏหมายบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ ในประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ๑ ลักษณะ๔ หมวด๒ มาตรา ๑๕๔-๑๗๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น